การเมืองเป็นเรื่องเครียดมั้ย??? ถ้าทำให้เป็นเรื่องไม่เครียดล่ะ จะเป็นยังไง?? เพื่อนๆจะมีความคิดเห็นว่าไงบ้างไปดูกัน และไปคุยกับอาจารย์เด็กแนว เอ๊ย!! อาจารย์พิชญ์ ขวัญใจเด็กๆจากจุฬาฯ อาจารย์สอนการเมืองแบบไม่เครียดได้...
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เยาวชนคอการเมือง
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทยปั จจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ทางการเมือง ปัญหายาเสพติด ปัญหาการแย่งชิงการจัดการทรัพยากร หรือความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ บ่อยครั้งได้ขยายไปสู่การใช้ความรุนแรงซึ่ งส่งผลกระทบแก่เด็กและเยาวชน นอกจากนี้ กระแสบริโภคนิยมและอุดมการณ์ตลาดเสรีได้สร ้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กลุ่มเยาวชนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ต ้องปรับตัวให้ขับเคลื่อนไปได้กับกระแสการเ ปลี่ยนแปลงเหล่านั้น แต่ทว่าประเด็นด้านสังคมการเมืองมักถูกมอง เป็นเรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ทำให้เยาวชนจำนวนมากซึ่งมีความสนใจและมีคว ามตื่นตัวทางการเมืองขาดพื้นที่และโอกาสใน การแสดงบทบาท หรือมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจในประเด ็นปัญหาหรือนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อตัวเขาแ ละชุมชน เวทีสิทธิ...วิวาทะในครั้งนี้จึงเปิดโอกาส ให้เด็กและเยาวชนในหลากหลายพื้นที่ ได้แสดงทรรศนะและมุมมองของพวกเขาที่มีต่อก ารเมืองไทย นโยบายของรัฐบาล และสถานการณ์รอบตัว
ผู้เข้าร่วมรายการ
นายลีโอ เจ๊ะกือลี ผู้ประสานงานเครือข่ายบัณฑิตอาสาพัฒนาชนบท จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายวันเฉลิม ศรีกุตา เยาวชน โรงเรียนอนุกูลนารี จังหวัดกาฬสินธุ์
นายอุทัย อารยาสรรค์สร้างเยาวชนเครือข่ายกลุ่มเกษตร กรภาคเหนือ
นางสาวสุลักษณ์ หลำอุบลสมาชิกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประ เทศไทย
นางสาวณัศพร วังแก้วตัวแทนนักศึกษาวิทยาลัยนวัตกรรมสัง คม มหาวิทยาลัยรังสิต
ผู้ดำเนินรายการ
คุณสุนี ไชยรส
ผู้เข้าร่วมรายการ
นายลีโอ เจ๊ะกือลี ผู้ประสานงานเครือข่ายบัณฑิตอาสาพัฒนาชนบท
นายวันเฉลิม ศรีกุตา เยาวชน โรงเรียนอนุกูลนารี จังหวัดกาฬสินธุ์
นายอุทัย อารยาสรรค์สร้างเยาวชนเครือข่ายกลุ่มเกษตร
นางสาวสุลักษณ์ หลำอุบลสมาชิกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประ
นางสาวณัศพร วังแก้วตัวแทนนักศึกษาวิทยาลัยนวัตกรรมสัง
ผู้ดำเนินรายการ
คุณสุนี ไชยรส
ปัญหาสำคัญของการเมืองไทย
ปัญหาสำคัญทางการเมืองการปกครองของไทย
๖.๑ ปัญหาสำคัญทางการเมืองการปกครองของไทย
ปัญหาสำคัญทางการเมืองการปกครองของประเทศไทย คงอยู่ที่การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องยอมรับว่าในความเป็นจริง ยังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่ขาดความเข้าใจในความรู้ต่อกฎ กติการวมไปถึงกระบวนการทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเรื่องการใช้สิทธิในการเลือกตั้ง ยังมีพลเมืองอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคงนอนหลับทับสิทธิ์ ทั้งที่เป็นการเลือกตั้งระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น ยังคงมีการรับอามิสสินจ้างหรือสิ่งตอบแทนจากการไปลงคะแนนเสียง ที่จริงถ้าจะอธิบายให้ชัดเจนการเมืองไทยมีลักษณะดังเช่นที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระองค์ท่านเคยบันทึกในหนังสือ“Democracy in Siam” พอจับใจความ ตอนหนึ่งว่า “ถ้ามีการยอมรับกันว่าวันใดวันหนึ่งเราอาจจะต้องถูกบังคับให้มีประชาธิปไตยแบบใดแบบหนึ่งในประเทศสยาม เราต้องเตรียมตัวของเราอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราจะต้องเรียนรู้และให้การศึกษาแก่ตัวของเราเอง เราจะต้องเรียนและทดลองเพื่อจะได้รู้ว่าระบอบการปกครองแบบรัฐสภาจะดำเนินไปได้อย่างไรในประเทศสยาม เราจะต้องพยายามให้การศึกษาแก่ประชาชน เพื่อที่จะให้ประชาชนมีความสำนึกทางการเมือง ที่จะตระหนักถึงผลประโยชน์อันแท้จริงเหล่านี้ ( ของพวกเขา) เพื่อที่ประชาชนจะได้ไม่ถูกชักนำไปโดยพวกนักปลุกระดม หรือพวกที่ฝันหวานถึงพระอาริย์ ถ้าเราจะต้องมีรัฐสภา เราจะต้องสอนประชาชนว่า จะออกเสียงอย่างไรและจะเลือกผู้แทนที่มีจิตใจฝักใฝ่กับผลประโยชน์ของพวกเขา อย่างแท้จริงอย่างไร.....มันจะเป็นการดีกว่าแน่นอน สำหรับประชาชนที่เริ่มต้นด้วยการควบคุมกิจการท้องถิ่น ก่อนที่พวกเขาพยายามที่จะควบคุมกิจการของรัฐสภาโดยผ่านทางสภา ข้าพเจ้าเชื่ออย่างจริงใจว่าถ้าการปฏิรูปเกล่านี้ ได้เริ่มใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นวิธีนี้ การปกครองระบอบประชาธิปไตย สามารถนำมาใช้ได้โดยไม่มีผลเสียมากนักถ้าการทดลองนี้ล้มเหลวในทุกขั้นตอนเมื่อนั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะจูงใจให้ประชาชนเชื่อได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศสยาม อันตรายอยู่ที่ความไม่อดทน” จากพระราชบันทึกดังกล่าวจะเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานแนวทางให้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย เกิดความพร้อมในประเทศไทยโดยเฉพาะความพร้อมในเรื่องของตัวประชาชนจะต้องเข้าใจหลักการ จะต้องเรียนรู้หลักการของการปกครองแบบประชาธิปไตย จะต้องเข้าใจกระบวนการอันเป็นหัวใจสำคัญ ของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การเมืองการปกครองของประเทศไทยที่ผ่านมา ๗๐ กว่าปี มีบทเรียนหลายอย่างที่สอนเราคนไทยให้ประจักษ์แก่สายตา ดังจะนำเสนอให้เห็นในปัญหาสำคัญทางการเมืองการปกครองของไทยในอดีตและปัญหาสำคัญทางการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน ดังนี้คือ
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย บนเส้นทางสายปฏิวัติ
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย บนเส้นทางสายปฏิวัติ
บนเส้นทางอันยาวนานของประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีหลายต่อหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์หักเหออกจากเส้นทางตามระบอบประชาธิปไตย มีการใช้กำลังทางทหารยึดอำนาจทางการเมืองโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร และปฏิรูปหลายต่อหลายครั้ง บ้างสำเร็จ บ้างล้มเหลว แต่ก็สร้างผลสะเทือนต่อโฉมหน้าการเมืองไทยมิใช่น้อย
"ผู้จัดการปริทรรศน์" จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการปฏิวัติในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย ก่อนมาถึงฉากสุดท้ายของการโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ"
ย้อนรอย 'ทหาร' ผู้ก่อการ
'กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร' โดยสาระสำคัญแล้ว การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมากมักจะเปลี่ยนแปลงเฉพาะเพียงรัฐบาล แต่หากรัฐบาลใหม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองโดยสิ้นเชิงถือเป็นการ 'ปฏิวัติ' และหากการยึดอำนาจครั้งนั้นสำเร็จ จะเรียกว่า 'รัฐประหาร' แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า 'กบฏ'
เมื่อสืบย้อนไปยังหน้าประวัติศาสตร์เก่าๆ ของการเมืองไทย จะพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายในลักษณะการปฏิวัติรัฐประหารมาตั้งแต่ก่อนสมัยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียอีก
เหตุการณ์กบฏ ร.ศ.130 ในปี พ.ศ.2454 สมัยรัชกาลที่ 6 เสวยราชย์ได้เป็นปีที่ 2 มีคณะนายทหารที่เรียกว่า ‘คณะ 130’ (ตรงกับรัตนโกสินทร์ศก 130) ร่วมกันคิดการอันเป็นภัยต่อราชวงศ์ โดยซ่องสุมและคบคิดกันที่บริเวณย่านแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งต่อมานายทหารกลุ่มนี้ก็ถูกจับกุมได้เสียก่อนลงมือกระทำการ คณะ 130 ถูกพิพากษาโทษลดหลั่นกันไป แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษทั้งหมด
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎรที่ทำการปฏิวัติการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยได้เพียงปีเดียว ปีต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2476 คณะราษฎรที่นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยึดอำนาจจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย นับเป็นการกระทำรัฐประหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาลและยึดอำนาจภายในกลุ่มคณะราษฎรด้วยกันเอง
บนเส้นทางอันยาวนานของประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีหลายต่อหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์หักเหออกจากเส้นทางตามระบอบประชาธิปไตย มีการใช้กำลังทางทหารยึดอำนาจทางการเมืองโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร และปฏิรูปหลายต่อหลายครั้ง บ้างสำเร็จ บ้างล้มเหลว แต่ก็สร้างผลสะเทือนต่อโฉมหน้าการเมืองไทยมิใช่น้อย
"ผู้จัดการปริทรรศน์" จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการปฏิวัติในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย ก่อนมาถึงฉากสุดท้ายของการโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ"
ย้อนรอย 'ทหาร' ผู้ก่อการ
'กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร' โดยสาระสำคัญแล้ว การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมากมักจะเปลี่ยนแปลงเฉพาะเพียงรัฐบาล แต่หากรัฐบาลใหม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองโดยสิ้นเชิงถือเป็นการ 'ปฏิวัติ' และหากการยึดอำนาจครั้งนั้นสำเร็จ จะเรียกว่า 'รัฐประหาร' แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า 'กบฏ'
เมื่อสืบย้อนไปยังหน้าประวัติศาสตร์เก่าๆ ของการเมืองไทย จะพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายในลักษณะการปฏิวัติรัฐประหารมาตั้งแต่ก่อนสมัยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียอีก
เหตุการณ์กบฏ ร.ศ.130 ในปี พ.ศ.2454 สมัยรัชกาลที่ 6 เสวยราชย์ได้เป็นปีที่ 2 มีคณะนายทหารที่เรียกว่า ‘คณะ 130’ (ตรงกับรัตนโกสินทร์ศก 130) ร่วมกันคิดการอันเป็นภัยต่อราชวงศ์ โดยซ่องสุมและคบคิดกันที่บริเวณย่านแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งต่อมานายทหารกลุ่มนี้ก็ถูกจับกุมได้เสียก่อนลงมือกระทำการ คณะ 130 ถูกพิพากษาโทษลดหลั่นกันไป แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษทั้งหมด
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎรที่ทำการปฏิวัติการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยได้เพียงปีเดียว ปีต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2476 คณะราษฎรที่นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยึดอำนาจจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย นับเป็นการกระทำรัฐประหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาลและยึดอำนาจภายในกลุ่มคณะราษฎรด้วยกันเอง
ความหมายของห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom)
ห้องเรียนเสมือน(Virtual Classroom);หมายถึงการเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้ช่องทางของระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตเข้าไปเรียนในเว็บไซต์ ที่ออกแบบกระบวนการเรียนการสอนให้มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับเรียนในห้องเรียนแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและผู้เรียนกับผู้เรียน โดยมีบรรยากาศเสมือนพบกันจริง กระบวนการเรียนการสอนจึงไม่ใช่การเดินทางไปเรียนในห้องเรียนแต่เป็นการเข้าถึงข้อมูลเนื้อหาของบทเรียนได้โดยผ่านคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์
หมวด ๑ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทําขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านํามาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทํางานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทํางานตามปกติได้ต้องระวางโทษจําคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทําขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านํามาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทํางานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทํางานตามปกติได้ต้องระวางโทษจําคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)